วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทบรรณาธิการ ภาค2 สมัย66 เล่ม16

                       คำถาม  ฟ้องขอให้ลงโทษฐานเป็นตัวการร่วม แต่ข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฎในการพิจารณาได้ความว่าเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจลงโทษหรือไม่
                       ยักยอกสลากกินแบ่งที่ถูกรางวัลและไปรับเงินรางวัลแล้ว พนักงานอัยการจะขอให้คืนหรือใช้เงินเท่ากับจำนวนเงินรางวัลแก่ผู้เสียหายได้หรือไม่  เพียงใด        
                       คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                       คำพิพากษาฎีกาที่  11224/2555  สลากกินแบ่งรัฐบาลที่โจทก์ร่วมซื้อและฝากจำเลยที่ 1 ไว้ถูกรางวัลที่หนึ่ง จำเลยที่ 1 คิดจะเบียดบังเอาสลากไว้เสียเอง จึงได้อ้างต่อโจทก์ร่วมว่าสลากไม่ถูกรางวัลและทิ้งไปแล้ว จากนั้นให้จำเลยที่ 2 บุตรชายรับสมอ้างว่าเป็นผู้ซื้อสลากไป แล้วร่วมมือกันนำสลากไปขอรับรางวัลมาเป็นของจำเลยทั้งสองโดยทุจริต จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมครอบครองสลากมาแต่แรก แต่การที่จำเลยที่ 2 รับสมอ้างว่าเป็นเจ้าของสลากและร่วมไปขอรับเงินรางวัลมา ถือได้ว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่จำเลยที่ 1 ในการยักยอกสลาก จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบมาตรา 86 แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วม แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำผิด แตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง แต่มิใช่ข้อสาระสำคัญและจำเลยที่ 2 มิได้หลงต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2  ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดซึ่งมีโทษเบากว่าได้ตามประมวลกฎหมาวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225 
                       สลากกินแบ่งรัฐบาลถูกรางวัลที่หนึ่งและจำเลยทั้งสองร่วมกันไปรับเงินรางวัลมาแล้ว ย่อมทำให้โจทก์ร่วมหมดโอกาสที่จะได้รับเงินรางวัล เท่ากับว่าโจทก์ร่วมต้องสูญเสียเงินจำนวนนั้นไปเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองโดยตรง โจทก์จึงมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินเท่ากับจำนวนเงินรางวัลที่หนึ่งให้แก่โจทก์ร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 แต่ในการไปขอรับเงินรางวัลจำเลยทั้งสองได้รับเงินมาเพียง  33,980,000 บาท เพราะต้องเสียอากรแสตมป์ 20,000 บาท จึงชอบที่จำเลยทั้งสองต้องคืนหรือใช้เงินจำนวนเท่าที่ได้รับมา และโจทก์ร่วมซึ่งได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสอง ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม โดยเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ต้องใช้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 440 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ได้
                      คำถาม  ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง หากศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมาย โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมายได้หรือไม่ และหากโจทก์ประสงจะฎีกาต้องดำเนินการอย่างไร 
                     คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                     คำพิพากษาฎีกาที่  4172/2555 คดีนี้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย และแม้คดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม คดีก็ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 หากโจทก์จะฎีกาก็ต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221
                    การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โดยไม่ได้ขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ก็ยังต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายตามบทบัญญัติดังกล่าว                    
                     คำพิพากษาฎีกาที่  2536/2555  โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 ประกอบมาตรา 83 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุก 6 ปี ข้อหาอื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์ ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ.มาตรา 290 วรรคแรกด้วย มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยกฟ้อง โจทก์ในข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 (4) ประกอบมาตรา 83 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 โจทก์ร่วมฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังได้ว่าจำเลยกับพวกมาดักรอเพื่อจะทำร้ายผู้ตายเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว                                       
                      คำพิพากษาฎีกาที่ 3334/2555   การที่ศาลทั้งสองต่างเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยที่ 1ไปรับการฝึกและอบรม เป็นเรื่องที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแทนการลงโทษทางอาญา ซึ่งไม่ใช่โทษตาม ป.อ. มาตรา 18 เมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขเฉพาะบทลงโทษและแก้ไขระยะเวลาการฝึกและอบรมซึ่งไม่ใช่โทษตามกฎหมาย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและศาลล่างทั้งสองมิได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
                        ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 220   
                     คำถาม   โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่น ข้อเท็จจริงในการพิจารณาฟังได้เพียงว่า จำเลยร่วมกันใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ  ศาลจะลงโทษได้หรือไม่
                        คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                     คำพิพากษาฎีกาที่  5612/2555  ทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใด ๆ ที่จะชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าไปเกี่ยวข้องกับการใช้มีดแทงผู้ตายของจำเลยที่ 3 อย่างไร จึงยังไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ร่วมกับหรือแม้แต่รู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ 3 ในการที่จำเลยที่ 3 ใช้มีดฆ่าผู้ตาย คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้ตายในขณะเกิดเหตุด้วยการชกต่อยผู้ตายเท่านั้น แม้โจทก์จะฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 1 หรือที่ 2  ร่วมกันใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ตาม ป.วิ.อง มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 215, 225
                       คำถาม    ผู้ที่มิใช่เจ้าของทรัพย์แต่เป็นผู้ครอบครองทรัพย์ในขณะมีการกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ จะเป็นผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในข้อหาความผิดดังกล่าวหรือไม่
                      คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
             คำพิพากษาฎีกาที่  4801/2555  โจทก์บรรยายฟ้องว่า รถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน กมธ ระยอง 533 เป็นของ ส. ขณะอยู่ในความครอบครองของ ช. ถูกจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันทุบตีทำลายรถจักรยานยนต์ดังกล่าวได้รับความเสียหาย ดังนี้ ผู้เสียหายย่อมหมายถึง ช. ซึ่งเป็นผู้ร้องทุกข์ภายในอายุความชอบด้วยกฎหมาย และข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะ ช. เป็นผู้ครอบครองใช้รถจักรยานยนต์ดังกล่าวได้มีการกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ช. ผู้ครองครองทรัพย์ของ ส. ในขณะนั้นจะต้องมีความรับผิดในความเสียหายต่อ ส. ช. จึงเป็นผู้เสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดนั้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีนี้ได้
                   คำถาม  ฟ้องว่าเป็นใช้ให้กระทำความผิด ฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ มิได้ฟ้องว่าเป็นผู้ลงมือกระทำความผิด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร ศาลจะลงโทษได้หรือไม่ และเป็นเหตุส่วนลักษณะคดีหรือไม่
                  คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
                  คำพิพากษาฎีกาที่  12970/2555  โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ด้วยการใช้ จ้าง วาน มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ลงมือกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำผิดฐานรับของโจร จึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในความผิดฐานรับของโจรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ต้องพิพากษายกฟ้อง แม้จำเลยที่ 4  มิได้ฎีกาแต่เป็นเหตุส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 4 ด้วยตามมาตรา 213 ปรำกอบมาตรา 225
                 ขอให้นักศึกษาทุกคนประสบความสำเร็จในการสอบ
                                           
                                                                                                            นายประเสริฐ  เสียงสุทธิวงศ์

                                                                                                                           บรรณาธิการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น