วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทบรรณาธิการ ภาค 2 สมัย 66 เล่ม 7

                      คำถาม   ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยไม่วินิจฉัยประเด็นตามคำให้การจำเลยบางข้อ หากจำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์โดยไม่ตั้งประเด็นที่ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยไว้ หากศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยฎีกาในประเด็นดังกล่าวได้หรือไม่ 
                        คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                       คำพิพากษาฎีกาที่  5556/2537  โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทของ ท. ฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก จำเลยให้การต่อสู้ว่า ท. ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยก่อนตาย โจทก์ฟ้องคดีมรดกหลังจากทราบการตายของ ท. เกิน 10  ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ท. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยปัญหาเรื่องอายุความไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ท. จำเลยไม่ได้ยกปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความตั้งเป็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์  ถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ท. พิพาษากลับให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสาม ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง  
                      คำพิพากษาฎีกาที่  5020/2538  ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยและคนขับรถของโจทก์มีความประมาทเท่า ๆ กัน ค่าเสียหายของโจทก์จึงตกเป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียว จำเลยแก้อุทธรณ์ว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ปัญหาว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทด้วยหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาว่าจำเลยมิได้เป็นฝ่ายประมาท คงฎีกาได้เพียงว่าคนขับรถยนต์ของโจทก์มีส่วนประมาทด้วยหรือไม่ และเมื่อคดีฟังได้ว่าคนขับรถของโจทก์และจำเลยมีความประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ค่าเสียหายจึงเป็นพับกันไป
              คำพิพากษาฎีกาที่  2042/2542 ประเด็นที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และคดีขาดอายุความหรือไม่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยทั้งสองประเด็นนี้ไว้ในคำพิพากษาและพิพากษายกฟ้องโจทก์ เมื่อโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์และจำเลยที่ 1 ยื่นคำแก้อุทธรณ์โดยมิได้กล่าวอ้างปัญหาทั้งสองข้อนี้ไว้เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ทั้งสองประเด็นจึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
                      คำพิพากษาฎีกาที่  3115-3316/2550  จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องเคลือบคลุม แต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองเพราะเห็นว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีไม่จำต้องอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยที่ 2 มีสิทธิที่จะยกประเด็นเรื่องฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องเคลือบคลุมขึ้นแก้อุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แต่จำเลยที่ 2 คงแก้อุทธรณ์เฉพาะปัญหาว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่เท่านั้น จำเลยที่ 2 หาได้ยกปัญหาเรื่องฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมขึ้นแก้อุทธรณ์ด้วยไม่ ดังนั้น ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ จึงไม่ใช่ปัญหาที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในชั้นศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามป.วิ.พ.มาตรา249วรรคหนึ่ง                      
                      คำถาม  คำแก้อุทธรณ์ก่อให้เกิดประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่
                      คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้                                              
                คำพิพากษาฎีกาที่  5679/2553  ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยแต่เพียงเรื่องอำนาจฟ้อง โดยไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้ออื่น ๆ รวมถึงประเด็นข้อพิพาทในเรื่องรถยนต์พิพาทสูญหายหรือไม่ แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแล้ว จำเลยได้ทำคำแก้อุทธรณ์โดยตั้งประเด็นไว้ด้วยว่ารถยนต์พิพาทไม่ได้สูญหาย เมื่อปรากฎว่าประเด็นข้อพิพาทในชั้นอุทธรณ์ซึ่งเกิดจากคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยมีเรื่องรถยนต์พิพาทสูญหายหรือไม่อยู่ด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 237 และ 240
                          คำพิพากษาฎีกาที่  2845/2556  ปัญหาว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ จำเลยยกขึ้นกล่าวแก้ในคำแก้อุทธรณ์แล้ว จึงเป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 สามารถยกขึ้นวินิจฉัยได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในประเด็นดังกล่าว จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น                    
                     คำพิพากษาฎีกาที่  2317/2536  เมื่อศาลชั้นต้นฟังได้ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยจำเลยสละการครอบครองให้แล้ว และพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาทเท่าที่โจทก์ครอบครองให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องอุทธรณ์ว่าพินัยกรรมที่จำเลยอ้างว่า ม. ยกที่พิพาทให้จำเลยตามเอกสารหมาย ล. 1 สมบูรณ์หรือไม่ เพราะโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีอยู่แล้ว แต่เมื่อจำเลยอุทธรณ์ในประเด็นข้ออื่น โจทก์ได้กล่าวในคำแก้อุทธรณ์ถึงประเด็นข้อนี้ด้วยว่า พินัยกรรมไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใด คดีจึงมีประเด็นตามคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์  ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
                       คำพิพากษาฎีกาที่  218/2538  แม้โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยมิได้ยกปัญหาอายุความขึ้นเป็นประเด็นแห่งอุทธรณ์เนื่องจากศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยถึงปัญหาอายุความไว้ แต่คำแก้อุทธรณ์มีประเด็นที่จำเลยทั้งสองได้กล่าวแก้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความด้วย เมื่อชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ยกปัญหาอายุความขึ้นวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
                     คำถาม  การพิพากษาคดีอาญา ศาลจะต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนคดีอาญาในคดีอื่นหรือไม่
                      คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
                    คำพิพากษาฎีกาที่  5677/2555  การพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่น ดังเช่นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญามาตรา 46 ไม่ แม้โจทก์ทั้งสามกับบริษัท ส. ซึ่งมีจำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการเป็นคู่ความเดียวกันและพยานหลักฐานของจำเลยจะเป็นชุดเดียวกันกับที่จำเลยเคยอ้างและนำสืบในคดีอาญาก่อนมาแล้วก็ตาม เพราะในคดีอาญาศาลจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั้นน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงจะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยคดีนี้โดยฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีอาญาคดีก่อนซึ่งเป็นที่สุด โดยมิได้วินิจฉัยตามพยานหลักฐานที่ปรากฎในส่วนคดีนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ และขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (5) และมาตรา 227
                     คำถาม    คดีที่มีอัตราโทษต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง หากศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปความคุมเพื่อฝึกและอบรมจะเข้าข้อยกเว้นที่จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่
                       คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
                      คำพิพากษาฎีกาที่  153/2555  โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 391 และ 358 ซึ่งแต่ละข้อหามีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน 30 วัน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104 (2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน กำหนดขั้นต่ำ 6 เดือน ขั้นสูง 1 ปี เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวใช้วิธีการสำหรับเด็กแทนการลงโทษทางอาญาแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ไม่เข้าข้อยกเว้นที่ให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ (1) ถึง (4)
                         ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยฎีกาของจำเลยโดยไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้ เพราะกรณีจะอนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ต้องเป็นกรณีที่ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 218 มาตรา 219 และมาตรา 220 เท่านั้น  
                       คำถาม  บิดาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยอ้างว่าจำเลยถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ร้องไม่อุทธรณ์  จำเลยผู้ถูกคุมขังมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นหรือไม่
                      คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
                    คำพิพากษาฎีกาที่  4314/2555  มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 90 บัญญัติว่า เมื่อมีการอ้างว่าบุคคลใดต้องถูกคุมขังในคดีอาญาหรือในกรณีอื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย บุคคลเหล่านี้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลท้องที่ที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญาขอให้ปล่อย คือ (1) ผู้ถูกคุมขังเอง......(5) สามี ภริยา หรือญาติของผู้นั้น  หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขัง.....  การที่นายโปร่ง ยอดวารี ผู้ร้องซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยที่ 1 โดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา 90 (5) เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ผู้ถูกคุมขัง เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้อง แม้นายโปร่งผู้ร้องไม่อุทธรณ์ แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ถูกคุมขังเองเป็นผู้มีส่วนได้เสียและได้รับผลกระทำโดยตรงจากคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้อง ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นได้ เนื่องจากไม่มีบทกฎหมายใดห้ามหรือจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ในกรณีนี้ไว้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มิได้ใช้สิทธิร้องขอให้ปล่อยจึงหามีสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น    
                                                                                        นายประเสริฐ  เสียงสุทธิวงศ์

                                                                                             บรรณาธิการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น